เคยได้ยินกันบ่อย ๆ กับ Work Life Balance ที่มันหมายถึงการมีชีวิตแบบสมดุลระหว่างงานกับการดำเนินชีวิต หากสองสิ่งนี้เข้ากันและจัดสรรได้ แปลว่าคน ๆ นั้นจะมีชีวิตที่เป็นระเบียบและมีความสุข แต่ในบางครั้งชีวิตการทำงานของคุณมันล้นเสียจนกินเข้าไปในเวลาการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ มันดูเหมือนทฤษฎีนี้ไม่มีจริง มันไม่ใช่ทั้งหมดเพราะหากคุณสร้าง Work Life Balance ไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีชีวิตที่มีความสุขไม่ได้ เพียงแต่คุณอาจจะต้องมีเครื่องมือช่วย เราจึงได้นำเอาวิธีช่วยให้คุณสามารถมีชีวิตที่ปรกติได้ในขณะที่ชีวิตและงานของคุณยังเข้ากันไม่ได้
1. Pause ตัวเองสักครู่
หากความวุ่นวายเข้ามาทำให้คุณรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังล้ำเส้นชีวิตส่วนตัวของคุณอยู่ ทั้ง ๆ ที่คุณได้พยายามที่จะควบคุมมันไว้แล้วแต่ก็ยังมีบางอย่างที่เหนือการควบคุม การกดปุ่ม Pause ตัวเองเป็นสิ่งที่ดี เพื่อให้คุณได้หยุดคิดและตัดสินใจเลือกทางที่คุณต้องการที่สุด
แต่ให้คุณได้จำไว้ว่าเมื่อไหร่ที่ความยุ่งเหยิงยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้คุณตระหนักอย่างหนักแน่นว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คุณได้เลือกมันแล้ว และคุณจะต้องอดทนเพื่อจะอยู่กับเส้นทางที่คุณเลือกและทำเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ให้สำเร็จ หากคุณสามารถอดทนได้เพียงพอนั้นหมายถึงคุณสามารถใช้คำสั่งให้ความรู้สึกของคุณเปลี่ยนแสดงว่าคุณควบคุมมันได้
2. ทฤษฎีก้อนหิน
เคยมีการกล่าวถึงคำอธิบายนี้ของ Bill Nelsonผู้เริ่มทำการทดลองและอธิบายความหมายของการใช้หินหลายขนาดมีทั้งใหญ่มาก เล็กปานกลาง เล็ก เล็กที่สุด และทราย โดยการนำหินขนาดใหญ่ใส่ลงไปที่ก้นภาชนะ และหินขนาดต่าง ๆ ตามลำดับ และเททรายเป็นอันดับสุดท้าย แต่ทว่าทรายไม่สามารถไหลลงไปสู่พื้นด้านล่างเพื่อกักเก็บ นั่นก็หมายถึง หินก็คืองานที่วุ่นวายที่สุดของคุณ และให้ทรายเป็นวิธีที่นำไปสู่ความสำเร็จ เมื่อใดที่คุณเอางานที่ยากเย็นโยนลงไปและพยายามให้เครื่องมืออื่น ๆ ทำมันให้สำเร็จ มันจะไม่มีทางสำเร็จได้
ดังนั้นให้คุณค่อย ๆ เริ่มคิดอย่างช้า ๆ หากงานมันถาโถมจนคุณไม่ทันตั้งตัว การใช้สติเพื่อแก้ปัญหาไปอย่างช้า ๆ จะทำให้งานทุกอย่างเสร็จได้เช่นกัน และการค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปก็สามารถทุกอย่างให้พอดี ก็เหมือนกันการนำก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ค่อย ๆ เรียงสลับกันไปให้ทรายซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ได้ผ่านลงไปสู่ก้นภาชนะได้อย่างช้า ๆ และทำให้ทุกอย่างเต็มได้พอดี
3. การใช้เครื่องมือ PEW12
PEW12 (Purge Emotional Writing) การสร้างพลังด้วยตัวหนังสือ ผู้สร้างเครื่องมือนี้คือ Dr. Habib Sadeghi เป็นการใช้ตัวหนังสือเป็นตัวสร้างอารมณ์ด้วยการเขียนสิ่งที่รู้สึกแย่ที่สุดออกมาให้หมดบนกระดาษ และกระดาษนั้นจะเป็นกระดาษแห่งความลับ เพราะหลังจากที่คุณเขียนมันเสร็จ คุณจะทำลายมันไม่ว่าจะฉีกมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือการเผามันทิ้ง มันจะทำให้คุณรู้สึกว่าอารมณ์ที่แย่ที่สุดและสิ่งที่คุณเกลียดที่สุดได้ถูกทำลายไปหมดแล้ว
การเขียนช่วยให้คุณสามารถปลดปล่อยอาการ ความรู้สึกในอารมณ์ที่เรียกว่าเป็นประจุออกมา มันดูคล้ายกับการหาทางคลายความตึงเครียดในทุกกิจกรรมของคุณ และการเขียนด้วยพลังทั้งหมดจากความรู้สึกของคุณในเวลานั้น จะทำให้คุณลบอารมณ์ที่เป็นประจุพลังงานด้านลบนั้นให้หมดไปได้มากที่สุด และการทำงานที่เห็นได้ชัดของเครื่องมือนี้หากคุณทำมันสำเร็จคุณจะรู้จักเริ่มปล่อยวาง หากคุณปล่อยพลังงานด้านลบได้และฝึกทำมันเป็นประจำ พลังงานแย่ ๆ นั้นจะไม่สะสมในตัวคุณแต่จะทำให้คุณได้มี space ในการครีเอทพลังงานด้านบวกได้ในครั้งต่อไป
4. ตั้งเวลาเพื่อร่างกาย
ในที่นี้เราหมายถึงการออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น โยคะ หรือการเดิน เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการอาบน้ำที่เป็นการทอดอารมณ์ได้อย่างดีที่สุด แต่คุณต้องให้เวลานี้เป็นเวลาที่ถูกตอกย้ำว่าต้องทำแบบที่เรียกว่าเป็น Sacred Timeได้เลย มันจะเป็นการฟิกซ์เวลาที่ตายตัวแบบเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ให้คุณทำมันเป็นนิสัยมันจะดีต่อร่างกายของคุณทั้งภายนอกคือความแข็งแรง ลุคดูเฟิร์ม และดีต่อร่างกายภายในคือการสร้างสมองที่มีพื้นที่เหลือ และกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
สำหรับการอาบน้ำ เป็นเหมือนพิธีกรรมอย่างหนึ่งเลยสำหรับเครื่องมือการสร้าง Life Balance มันเป็นการไล่ความเหนื่อยล้าทั้งหมด และการได้สัมผัสตัวเองแล้วรู้สึกถึงความนุ่ม การสร้างความหอม ให้คุณได้สดชื่นและมีความสุขกับการนอนหลับ แนะนำให้คุณลองอาบน้ำด้วยเกลืออาบน้ำหิมาลัย หยดน้ำมันหอมระเหยเล็กน้อยให้คุณได้ผ่อนคลาย สมาธิก่อนนอนหลังอาบน้ำ 5 นาที ยิ่งจะช่วยให้สมองเปิดโล่ง จิตใจที่อ่อนโยนพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่หลังจากคุณลืมตา
5. ให้อภัยตัวเอง
บ่อยครั้งการตั้งเป้าหมายบางอย่างและคุณต้องการความสำเร็จ แต่ก็ไม่ทุกครั้งที่มันจะเป็นไปได้อย่างที่คุณหวังไว้ คุณจะรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวอยู่บ่อย ๆ เพราะมันไม่ยอมสำเร็จ มันเกิดจากส่วนลึกในจิตสำนึกว่าคุณต้องทำมันให้สำเร็จเท่านั้นจึงจะมีความสุข มันไม่ใช่เลย ความสุขจากความไม่สำเร็จก็เกิดขึ้นได้ สิ่งนี้ที่เราเรียกว่าการให้อภัยตัวเอง สิ่งที่ทำไม่สำเร็จอย่าโทษที่ตัวคุณเสมอว่าผิด มันอาจจะมีปัจจัยรอบด้านที่ทำให้เกิดการผิดพลาดได้
คุณลองให้อภัยตัวเองแล้วลองมันใหม่ หากมันทำให้คุณรู้สึกว่ามันไปต่อไปไม่ได้ ให้คุณฝึกที่จะหันหลังให้กับมันต่อให้สิ่งนั้นคุณจะบอกว่ามันคือการตัดสินชะตาชีวิตของคุณ ไม่มีอะไรกำหนดชะตาชีวิตคุณได้นอกจากตัวคุณเอง ยิ่งคุณบีบตัวคุณเองมากเท่าไหร่ คุณก็จะอึกอัดเองมากขึ้นเท่านั้น ให้คุณปล่อยให้ตัวคุณเองได้มีโอกาสแก้ไขและทำบางอย่างมากกว่าสามครั้ง แล้วคุณจะพบว่าทางออกที่ที่ดีสุดมันอยู่ในหัวใจของคุณเอง
คิดว่าสิ่งที่แบ่งปันมาทั้งหมดจะทำให้คุณได้กลับไปเริ่มต้นกับตัวเองใหม่อีกครั้ง หากคุณสามารถเปลี่ยนตัวเองจากวิธีการเหล่านี้ Work Life Balance จะไปไหนเสีย howto101