เทคนิคจับความคิดด้วยวิธีอ่านดวงตา

วิธีการ How to

ดวงตาเป็นหน้าต่างบอกทุกอย่าง มันคือเรื่องจริง ไม่ว่าจะจับความรู้สึกดีใจ เสียใจ ปิดปัง หรือแม้แต่การโกหก ดวงตาจะเป็นอวัยวะที่แสดงความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุด และทำให้คุณสามารถเข้าใจคนอื่นได้ดีที่สุดอีกด้วย แต่การอ่านดวงตาไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนจะสามารถอ่านได้ขาดไปเสียทีเดียว เรามีเทคนิคง่าย ๆ เพื่อช่วยให้คุณสามารถเข้าใจคนอื่นได้จากดวงตาเพื่อการเข้าถึงบุคคลนั้น ๆ ได้ง่ายและถูกที่ถูกเวลา ทำความเข้าใจทิศทางของดวงตาและเทคนิคการอ่านความคิด ทำไมเราต้องรู้จักกับวิธีการอ่านดวงตาคนอื่น เพราะเมื่อเรารู้วิธีอ่านตาจากการเคลื่อนไหวของดวงตาของคนคนนั้น พวกเขาจะไม่รู้ตัวและเป็นวิธีที่จะเข้าถึงพวกเขาได้ถึงภายในความรู้สึกของพวกเขาแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นผลดีกับตัวคุณเองหากเป็นการอ่านเพื่อเอาชนะคู่แข่งขัน หรือการอ่านความรู้สึกของคู่สนทนา 1. Upper left มองบน แต่ไม่ใช่การมองบนที่เราใช้เรียกกันแต่เป็นการมองไปที่ด้านซ้ายบน ลักษณะการมองแบบนี้หมายความว่าไม่พอใจ แต่เป็นการมองของลักษณะคนที่กำลังคิดถึงเรื่องราวความทรงจำจากอดีตเพื่อลำดับเรื่องราวในปัจจุบัน มันเป็นการคิดเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาเคยพบเจอมาเพื่อเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเพื่ออ้างอิง 2. Upper right  มองบนไปด้านขวา เป็นไปได้มากทีเดียวสำหรับการมองขึ้นด้านบน เป็นการสร้างภาพแต่ไม่เหมือนการมองบนซ้าย เพราะภาพที่คนมองบนขวาเป็นการคิดถึงการสร้างภาพเพื่อเบี่ยงเบน แก้ตัว หรือการสร้างภาพเพื่อใช้ในการโกหกนั้นเอง 3.  Lateral left การมองตาไปทางด้านซ้าย มันดูเหมือนเป็นการมองตาไปมา แต่อันที่จริงแล้วเป็นการเบี่ยงเบนดวงตาไปทางด้านซ้ายเพื่อใช้ความคิดเรื่องเก่าแล้วนำกลับมาเล่าใหม่ หรือเป็นเหมือนการพยามนึกถึงสิ่งที่เตรียมมาเพื่อพูดหรือการพยายามที่จะท่องบทนั่นเอง 4. Lateral right การมองตาไปทางขวา สัญชาตญาณนี้เป็นเรื่องที่บอกได้ชัดเจนมาก คุณสามารถลองสังเกตตัวเองเมื่อคุณได้ยินเสียงอะไรที่ดังแว่วเข้ามาคุณจะหยุดและกลิ้งตาไปทางขวาโดยอัตโนมัติ และเป็นอีกอาการสำหรับการได้ฟังคนบางคนทำลังพูดเรื่องไม่จริงหรือเรื่องโกหก 5. Lower left การมองล่างซ้าย […]

ปรับร่างกายให้เหมาะสมที่โต๊ะทำงานทั้งวัน

วิธีการ How to

คุณเคยสังเกตไหมว่าการนั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ ลักษณะกายภาพของคุณมีรูปร่างอย่างไร คุณอาจจะมีความรู้สึกว่าอยู่ในท่าที่สบายแล้วเนื่องจากเก้าอี้นุ่มและโต๊ะทำงานตัวใหญ่อลังการ แต่บางครั้งคุณอาจจะไม่รู้ตัวว่าโต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่คุณใช้อยู่ทุกวันไม่สามารถสร้างสุขอนามัยที่ดีได้ และสามารถส่งผลเสียให้กับร่างกายของคุณในระยะยาว เพราะคุณอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเอื้อมมือไปหยิบเมาส์และคีย์บอร์ด ยกเก้าอี้ขึ้นเพื่อให้อยู่ในระดับสายตาที่ดูพอดีกับจอภาพ และมีการปรับเอนไปข้างหน้าเพื่ออ่านหน้าจอได้ดีขึ้น แต่รู้ไหมว่าการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งอาจส่งผลให้สุขภาพร่างกายของคุณตกอยู่ในความเสี่ยง เรามีข้อแนะนำด้วยหลักการที่เรียกว่า Ergonomics หรือ การยศาสตร์ นั่นก็คือการออกแบบงานให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน มากกว่าการบังคับร่างกายของคนทำงานให้เข้ากับงาน และเน้นไปสู่การบาลานซ์ร่างกายให้เหมาะกับโต๊ะทำงานของคุณด้วยการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ที่คุณต้องใช้ในการทำงานมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เมื่อคุณลองเปลี่ยนมันแล้วจะทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น 1. เก้าอี้ เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับนั่งในท่าที่ถูกต้องจะสามารถลดความเสี่ยงของอาการทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกและความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกได้ดี และวิธีการนั่งที่ถูกต้อคือ แล้วเราควรนั่งอย่างไรดี? ให้คุณยกที่นั่งขึ้นหรือลดที่นั่งของคุณลงให้ต้นขาของคุณตั้งฉากและขนานกับพื้นโดยตรวจสอบจากเท้าที่ราบเรียบกับพื้น คุณอาจมีที่พักเท้าอยู่ใต้โต๊ะทำงานของคุณเพื่อให้ความรู้สึกสบาย ให้คุณเว้นระยะห่างระหว่างด้านหลังเข่ากับขอบที่นั่งห่างกันประมาณ 2 นิ้ว ให้ที่พักแขนไม่ควรสูงเกินความสูงของข้อศอกขณะนั่ง คุณสามารถเอนหลังพิงเก้าอี้ โดยให้พนักพิงพิงอย่างสบายที่หลังเพื่อให้พนักพิงรองรับร่างกายส่วนบนได้เหมาะสม 2. Keyboard ส่วนใหญ่คุณจะต้องเอนตัวเพื่อให้เข้ากับหน้าจออยู่ตลอดเวลาคุณจะรู้สึกไม่ถนัดจนกลายเป็นว่าคุณจะห่างจากพนักพิงที่เป็นตัวช่วยผ่อนคลายให้หายไปอย่างไม่รู้ตัว  โดยปรกติโต๊ะทำงานที่ใช้กันระดับความสูงที่ให้หน้าจออยู่ในระดับสายตาที่พอดี แต่ทว่ามันอาจจะเป็นวิธีที่ผิดเพราะในบางคนโต๊ะจะมีความสูงที่มากเกินไป ทำให้ระดับการทำงานคุณต้องยกไหล่เพื่อวางบนแป้นพิมพ์ตลอดเวลา ซึ่งการห่อไหล่แบบนี้จะทำให้คุณมีปัญหาสะสมกับโรคหลังส่วนล่าง  ให้คุณจัดระดับเก้าอี้ที่สูงกำลังพอเหมาะ เลื่อนแป้นพิมพ์และเมาส์ให้เข้ามาใกล้ตัวคุณที่สุด เพราะจะทำให้คุณได้ถ่ายน้ำหนักตัวไปยังพนักพิงเพื่อให้หลังของคุณได้ผ่อนคลาย 3. Mouse เมาส์จะเป็นอุปกรณ์ที่จะสามารถสร้างอาการบาดเจ็บให้กับคุณได้มากที่สุดและไม่รู้ตัว มีวิธีการปรับข้อมือคุณได้อย่างง่าย ๆ อันดับแรกให้เลือกใช้เมาส์ที่มีการวางรับมือได้อย่างพอดี และการจัดวางตำแหน่งให้คุณเลื่อนตำแหน่งเมาส์วางไว้ให้เหนือแป้นตัวเลขในแป้นพิมพ์ของคุณ มันจะสร้างระดับมือที่พอดีและไม่ทำให้คุณต้องเกร็งมันจนเกิดเป็นปัญหาสุขภาพในภายหลัง 4. Monitor หน้าจอ มันดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาเพราะคุณคิดเสมอว่าไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหนคุณสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเพราะหน้าจอสามารถหมุนปรับได้ตามที่คุณต้องการ ซึ่งโดยปรกติคนส่วนใหญ่จะปรับหน้าจอให้แหงนสูงขึ้นดูเหมือนเป็นความถนัด และเพื่อให้เป็นการปรับความสบายในการมองหน้าจอให้เหมาะสม ควรให้บรรทัดบนของข้อความอยู่ในตำแหน่งที่หรือต่ำกว่าความสูงของตาที่วัดจากระดับที่นั่งเล็กน้อย […]

ยกระดับการทำงานของตัวเองด้วย Soft Skill 

วิธีการ How to

หากวันนี้คุณกำลังอยู่นในการทำงานที่เรียกว่าเป็นทีม ทักษะเฉพาะตัวมีความสำคัญมาก แต่ทักษะก็มีหลายรูปแบบเช่น Hard Skill และ Soft Skill แต่ละรูปแบบทำหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป จะมีเพียงลักษณะเดียวสำหรับการสร้างทักษะที่จะทำให้คุณสามารถยกระดับตัวคุณเองเมื่อต้องทำงานกับทีม และเป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จทั้งในงานและการก้าวหน้านั่นก็คือ Soft Skillที่เรากำลังจะพูดต่อไปนี้ Soft Skill หรือทักษะแบบนุ่มนวน เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องของความสัมพันธ์ของคุณไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน สกิลตัวนี้จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของคุณได้ชัดเจนหากคุณสามารถสร้างมันในขณะที่คุณต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น สกิลเหล่านี้เช่น  การมองโลกในแง่ดี การมีทัศนคติที่ดีในการทำงาน ความสามารถในการสร้างแรงจูงใจ ซึ่งสกิลหรือทักษะเหล่านี้ฟังดูแล้วเหมือนไม่ยาก แต่เมื่อไหร่ที่คุณไม่มี มันจะส่งผลร้ายแรงต่อทุกบรรยากาศในการทำงาน และงานของคุณจะไม่สามารถสำเร็จได้ตามที่คุณคาดหวัง เรามีการฝึกตัวเองเพื่อให้ได้ทักษะ หรือ Soft Skill มาแบ่งกันเพื่อให้คุณได้ยกระดับการทำงานในทีมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนร่วมงานรวมไปถึงเจ้านาย และเพื่อทำให้คุณได้กลายเป็นคนคุณภาพที่มีความก้าวหน้าไม่หยุด ตามมาอ่านกันได้ด้านล่างนี้ 8 ทักษะที่จำเป็นสำหรับการยกระดับสกิล 1. Communication Skills ทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะด้านนี่เป็นตัวเด่น ๆ ที่จะทำให้คุณได้เดินหน้าหรือถอยหลังลงน้ำ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณต้องทำงานเป็นทีม การสื่อสารที่ดี จึงเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะกับเจ้านายหรือหัวหน้างานของคุณ สำหรับนิยมของการสื่อสารที่ดี นั่นก็คือคุณต้องตั้งใจฟังอย่างไม่มีอัคติ การแสดงออกที่ชัดเจนและดึงดูดให้ผู้ร่วมงานเข้าใจในมุมมองของคุณ ปฏิกิริยาการแสดงออกต่อหน้าผู้ร่วมงาน และที่จำเป็นที่สุดคือการนำเสนอที่มีความน่าสนใจไม่น่าเบื่อ การสื่อสารออกไปทางภาษากาย มันเป็นการสร้างบุคลิกภาพเพื่อการสื่อสารไดเรคไปที่กลุ่มผู้ฟังโดยตรง ด้วยการพูดให้ตรงประเด็นและตอบคำถามจากข้อโต้แย้งของคนฟังได้อย่างชัดเจน แต่การแสดงออกของคุณจำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกของคนที่กำลังฟัง ระวังความอ่อนไหวของคำตอบของคุณด้วย […]

รับมือกับความขี้เกียจกับงานที่ต้องรับผิดชอบอย่างไรให้งานเสร็จสมบูรณ์

วิธีการ How to

การทำงานที่แสนจะเหนื่อยล้าและงานที่ล้นมือ คุณรู้ไหมว่าความอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยเหล่านี้ทำให้เกิดอาการขี้เกียจและจะส่งผลไปถึงการผัดวันประกันพรุ่งซึ่งจะส่งผลเสียต่องานที่คุณกำลังทำและต้องทำให้เสร็จ เรามีวิธีรับมือกับปัญหาเหล่านี้ อ่านตามและคิดตามอย่างช้า ๆ แล้วคุณจะเห็นผลที่คุณจะก้าวผ่านมันไปได้ ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าการผัดวันประกันพรุ่งที่เกิดจากความขี้เกียจนั่นเป็นเพราะว่า คุณอาจจะเบื่อกับงานที่ทำ หรืออาจจะทำงานอื่นที่มากจนเกินไป เรามาดูกันว่าคุณจะสามารถเรียนรู้วิธีรับมือกับมันได้อย่างไรบ้างตามวิธีต่อไปนี้ 1. ตรวจสอบเวลาของคุณ การผลัดวันประกันพรุ่งเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาเพียงสั้น ๆ หรือเวลาที่เหลือเฟือ แต่สิ่งที่คุณต้องตรวจสอบเวลาก่อนนั่นคือคุณต้องเรียงลำดับความสำคัญของงานก่อนในขณะที่งานของคุณอยู่บนมือคุณทั้งสองมือพร้อมกัน คุณลองนึกภาพหากคุณเป็นหมอ และมีผู้ป่วยฉุกเฉินรอการรักษาในเวลาที่จำกัดเพื่อการยื้อชีวิต คุณจำเป็นจะต้องเลือกดึงคนป่วยที่มีอาการอยู่ในขีดอันตรายที่สุดเข้ามาดูแลก่อน และการจัดการกับผู้ป่วยในรายต่อ ๆ ไป นั่นคือถ้าคุณสามารถจัดลำดับความสำคัญได้ งานจะเสร็จได้ภายในลำดับเวลา และความขี้เกียจจะไม่เกิดขึ้น 2. การแยกอันดับงาน เมื่อไหร่ที่งานของคุณถูกกองอยู่ตรงหน้าจนท่วมแทบไม่เห็นหน้าของคุณ อันดับแรกอย่าตกใจ ให้คุณตั้งสติแล้วค่อย ๆ แยกงานออกมาเป็นส่วน ๆ เพื่อให้คุณได้ทำทีละส่วนจนเสร็จและครบถ้วน มันจะช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายกว่า และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว คุณจับงานย่อยทั้งหมดมารวมกัน มันจะทำให้คุณไม่รู้สึกล้าและหนักมากเกินไป และสามารถก้าวข้ามความขี้เกียจจนไปสู่งานที่เสร็จสมบูรณ์ 3. การลดความสมบูรณ์แบบลง เราไม่ได้บอกคุณว่าไม่ให้คุณทุ่มเทกับงานที่ทำ แต่เรากำลังบอกคุณว่าคุณอาจจะเป็นคนที่ต้องการทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและไม่เคยพอใจในสิ่งที่ทำ ชัดเจนที่สุดคือการดิ้นรนที่จะสมบูรณ์แบบมันจะทำให้ไม่สมบูรณ์แบบ และการผลัดวันประกันพรุ่งมักจะแฝงอยู่ในความต้องการสมบูรณ์แบบเสมอ เพราะคุณจะไม่สนใจในงานอื่น จะมุ่งมันอยู่กับคำว่าสมบูรณ์แบบ จนทำให้งานไม่มีความสำเร็จ วิธีแก้คือให้คุณทำงานของคุณให้เสร็จและเมื่อเวลายังคงเหลือเพราะไม่มีการผลัดวันประกันพรุ่ง คุณสามารถกลับไปตรวจสอบและทำมันให้สมบูรณ์แบบได้อีกครั้ง 4. กำหนดขอบเขตของตัวเอง มีหลายคนที่ทำงานหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกันแต่ในงานเหล่านั้นมักจะมีงานในส่วนอื่นปะปนเข้ามาอยู่เสมอ […]

ลดการปวดหลัง สะโพกด้วยการบริหารกล้ามเนื้อ

วิธีการ How to

อาการปวดหลังที่มันจะไม่เป็นเพียงอาการปวดหลังอีกต่อไป ในหลาย ๆ คนมักมีอาการลุกลามไปข้างเคียงที่มีการเริ่มต้นมาจากอาการปวดหลัง เมื่อทิ้งไว้เป็นเวลานานมันมีโอกาสที่จะลุกลามไปได้ที่แขนและเท้า  อาการที่สะสมเหล่านี้เป็นการเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่าเป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อ piriformis สร้างความเจ็บปวดเนื่องจากมีผลกระทบไปถึงเส้นประสาท  sciatic ที่มักจะเกิดอาการเริ่มชาบริเวณหลังส่วนล่างและลุกลามมาถึงต้นขา เพราะเส้นประสาทไซอาติกมีส่วนเชื่อมผ่านบริเวณใต้กล้ามเนื้อไปยังต้นขาด้านหลัง ในบางคนเมื่อเส้นประสาทไซอาติกมีการเคลื่อนไหวผิดปรกติผ่านกล้ามเนื้อจะนำไปสู่อาการเจ็บบริเวณตะโพกเราเรียกอาการนี้ว่าโรคไพริฟอร์มิส วิธียืดกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการโรคไพริฟอร์มิส การยืดกล้ามเนื้อจากวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างเบาเนื่องจากเป็นส่วนที่มีผลกระทบค่อนข้างสูงอาจทำให้อักเสบหากมีการกระทบแบบรุนแรง เรามีท่าการบริหารอย่างเบา ๆ มาให้คุณได้ทำตามแต่คุณจะต้องทำการวอร์มกล้ามเนื้อก่อนยืดกล้ามเนื้อ เพราะการวอร์มกล้ามเนื้อจะช่วยลดอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น ให้คุณเดินหรือเดินไปมาหรือเดินขึ้นและลงบันไดอย่างช้า ๆ สักสองสามนาทีก่อนเริ่มออกกำลังยืดกล้ามเนื้อ ท่าที่ 1นอนหงาย Piriformis Stretch 1. ให้คุณนอนหงายกับพื้นโดยให้ขาทั้งสองข้างราบไปกับพื้น 2. เริ่มดึงขาที่มีอาการบาดเจ็บเข้าหาหน้าอก ใช้มือข้างเดียวกันกับขาจับไว้ตรงหัวเข่า และใช้มืออีกข้างจับข้อเท้า 3. ให้ดึงเข่าไปทางไหล่อีกด้านตรงข้ามจนคุณสามารถรู้สึกได้ว่ามันเริ่มตึง 4. ให้กดค้างไว้ 30 วินาที แล้วกลับสู่ตำแหน่งเดิม ดูคลิปเพิ่มเติม https://www.youtube.com/watch?time_continue=1&v=eKp2f5-jRbI&feature=emb_logo 2. ยืนยืด 1. เริ่มจากการยืนโดยให้หลังพิงกำแพง (สำหรับคนที่ไม่สามารถทรงตัวได้ดี) ให้ก้าวเท้ามาข้างหน้าประมาณ 2 ฟุต ย่อตัวลง เน้นส่วนสะโพก 45 องศากับพื้น 2. ค่อย ๆ […]

วิธีการควบคุมอารมณ์ด้วยวิธีอันชาญฉลาด

วิธีการ How to

หากพูดถึงความฉลาดทางอารมณ์  Emotional Intelligence หลายคนคงจะเข้าใจว่า เป็นความรู้สึกเหมือนคนฉลาดแต่ถ้าลงลึกไปถึงรายละเอียด ความฉลาดจะไม่มาเพียงส่วนเดียว เพราะความฉลาดจะต้องมี 3 สิ่งที่ต้องควบคุมให้ได้ด้วยคือ ความคิด พฤติกรรม และความรู้สึก ทำไมเราต้องควบคุมความรู้สึกให้ได้? เพราะความรู้สึกจะเป็นตัวเชื่อมโยงกับตัวเราไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมการแสดงออก ความคิดจินตนาการ และการขับเคลื่อนไปสู่การดำเนินชีวิต 3 สิ่งนี้ต้องเดินไปพร้อมกัน และความคิดเป็นตัวกำหนดการกระทำทุกอย่างดังนั้นการควบคุมอารมณ์เป็นเรื่องสำคัญ มาดูกันว่าการควบคุมอารมณ์อย่างฉลาดต้องมีทักษะอย่างไรบ้าง 1. แสดงอารมณ์อย่างช้า ๆ มีหลายคนที่น่าจะเคยผ่านการตอบสนองเรื่องราวบางอย่างในทันทีด้วยอารมณ์ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด และเป็นการใส่อารมณ์ที่ทำให้เสียโอกาสการดำเนินชีวิตในหลาย ๆ ครั้งคุณต้องพัฒนานิสัยประจำวันให้นับถึง 10 ก่อนทำตามพฤติกรรมและการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ วิธีนี้จะช่วยให้ระบบตั้งใจของคุณเปิดและจัดการกับความรู้สึกของคุณก่อนที่คุณจะแสดงอารมณ์ เพียงแค่ทำความเข้าใจว่าระบบทั้งสองนี้ทำงานอย่างไรและใช้เวลาสักระยะก่อนที่จะทำปฏิกิริยา จะช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น  2. จดบันทึก การจดบันทึกที่จะสอดแทรกในกระบวนการความคิดในหลาย ๆ ตำรา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลที่สุด Journaling หรือเรียกสั้น ๆ ว่าเจอนัล มันอาจจะไม่มีผลลัพธ์ที่ตายตัวแต่มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณบันทึกมันจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการทำเจอนัล ก็คือการได้อ่านซ้ำและทำความเข้าใจ เตือนความจำ  ดังนั้นการเจอนัลสิ่งที่บันทึกจะทำให้คุณสามารถเห็นสิ่งที่คุณทำลงไปและได้กลับมาประมวลผลมันอีกครั้งว่ามันได้รับผลหรือไม่ สิ่งที่คุณต้องจดบันทึกเพื่อให้การปรับอารมณ์และสามารถเข้าใจภาวะอารมณ์ได้ดีมีดังนี้ เมื่อคุณทำทั้งหมดนี้อย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถมองเห็นจุดบกพร่องทางอารมณ์ ส่งผลให้คุณสามารถทำให้รู้จักจังหวะและเวลาในการแสดงอารมณ์มากขึ้น 3. การทำสมาธิ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ […]

วิธีจับโกหกคู่สนทนาจากการแสดงออก

วิธีการ How to

การโกหกได้กลายเป็นวิธีที่ใช้ในการทำให้คนอื่นรู้สึกถึงความเชื่อใจ แต่มันเป็นอันตรายต่อคุณที่กำลังถูกคู่สนทนาโกหกโดยที่คุณเชื่อพวกเขาในทุกอย่างที่พวกเขาพูด  การดูน่าเชื่อถือเพื่อให้เกิดการดึงดูดใจใครซักคน เพื่อให้ได้รับบางสิ่งบางอย่างหรือแม้แต่กำลังสร้างสถานการณ์อันตราย ทั้งหมดนี้จะออกมาทางบุคลิกภาพของมนุษย์และการโกหกได้กลายเป็นหนึ่งบุคลิกภาพของมนุษย์ไปแล้ว  ความจำเป็นที่จะปกป้องตัวเองจากหายนะจากการโกหกเหล่านี้ต้องถูกฝึกฝนและเรียนรู้อย่างดี เรามีวิธีการสังเกตพฤติกรรม อาการ การแสดงออกของคนที่กำลังโกหกเพื่อให้คุณหลีกเลี่ยงความพลาดพลั้งที่จะเกิดจากการหลงเชื่อเหล่านี้  การเคลื่อนไหวของดวงตา ดวงตาจะเป็นจุดการสังเกตอาการได้ง่ายที่สุดเป็นอันดับแรก ก่อนหน้านี้คุณมักจะได้รู้มาเบื้องต้นว่าคนที่กระพริบตาบ่อยนั่นคือคนโกหก แต่ตอนนี้คนโกหกบางคนถูกฝึกมาให้เปลี่ยนจากการกระพริบตาเป็นการแสดงออกเหมือนกับคนปรกติคือการจ้องมองให้นานขึ้น หรือกระพริบตาให้น้อยลง  คุณจะสังเกตด้วยวิธีการที่ FBI ใช้อยู่ นั่นคือให้สังเกตคนที่โกหกจากการมองตาขึ้นไปด้านบน โดยเฉพาะมองไปทางด้านบนซ้าย เพื่อนึกถึงเรื่องโกหกในหัวของพวกเขา วิธีสังเกตนี้ใช้ได้ผลเพราะเป็นที่นิยมใช้ของหน่วยงานใหญ่ ๆ อย่าง FBI Speech การพูดคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อไหร่ในบทสนทนามีคำว่า “อืม” มักจะเดาได้ว่าคู่สนทนาของคุณกำลังโกหก แต่มันก็ไม่สามารถยืนยันได้จริง เพราะคนที่โกหกจะมีการระมัดระวังตัวมากขึ้น มีการควบคุมอาการและคำพูด แต่ก็ยังมีเคล็ดลับจับโกหกที่เป็นวิธีเก่าแก่แต่ยังได้ผลมาถึงปัจจุบัน นั่นก็คือเมื่อไหร่ที่พวกเขาพูดว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ด้วยท่าทางที่มีความจริงจังมากเกินไป ไม่มีการงอตัวหรือตื่นเต้น ซึ่งเป็นความผิดธรรมชาติเมื่อเวลาที่คนทำผิดจริงแต่พูดด้วยท่าทีอันเรียบนิ่ง เพราะพวกเขาพยายามควบคุมตัวเองด้วยการฝืนธรรมชาตินั่นเอง  Body Language ภาษากาย เมื่อความเครียดกลายเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการโกหกเพราะด้วยหลายเหตุผล วิธีการสังเกตไม่ยากเพราะท่าทีของคนโกหกมักจะยืนอยู่กับท่าทางที่เรียกว่า “ท่าปิด” “กอดอก” หรืออาจจะเป็นการนั่งไขว่ห้างแต่เป็นการนั่งที่ดูไม่สบายสักเท่าไหร่ สำหรับบางคนอาจจะมีการจับผมตัวเองเป็นระยะ ๆ สัมผัสใบหน้ามากเกินความจำเป็น ยังมีการแสดงออกทางกายภาพที่มากกว่านี้แต่ที่เราเลือกมาให้เห็นจะเป็น Body Language ที่ดูได้ง่ายที่สุด การพัฒนาจากการโกหกธรรมดาไปสู่นักโกหกในปัจจุบันนี้ค่อนข้างแนบเนียน แต่จากการสังเกตทั้งหมดนี้เป็นวิธีการใช้กันมานานกับการจัดผิดคนโกหกที่ได้ผล […]

สร้างทักษะชีวิตกับการพัฒนาธุรกิจในอนาคต

วิธีการ How to

มีหลายคนที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวเพราะงานประจำยังไม่สามารถนำพาชีวิตไปสู่จุดที่ดีที่สุดได้ แต่การเป็นเจ้าของธุรกิจเองมันอาจจะยังต้องพึ่งพาคำว่า Skill หรือทักษะการเอาตัวรอดที่แข็งแรงมาก ๆ และมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนในเรื่องของทักษะความเฉียบแหลมในการวิเคราะห์สถานการณ์ มีความสามารถมองเห็นเหตุการณ์และจินตนาการใหม่ ๆ ตลอดเวลา แต่คุณสามารถเริ่มฝึกทักษะเหล่านี้ได้ เรามองหาวิธีการสร้างทักษะให้กับชีวิตมาแบ่งปันให้กับคุณ และมองไปถึงเหตุผลที่คุณต้องคิดหาแนวทางที่รอบคอบและกระตือรือร้นมากขึ้นอย่างไร  เทคนิคการเริ่มต้นสร้างทักษะชีวิต 1. ไอเดียธุรกิจที่คุณจะทำ ไอเดียในที่นี่อาจจะมาจากความชอบ ความถนัด ที่คุณบ่มเพาะทักษะ และมีความรู้ในธุรกิจที่คุณจะทำ เราไม่สนับสนุนให้คุณทำธุรกิจเพียงแค่เห็นคนอื่นทำแล้วดี เพราะมันอาจจะไม่เหมาะกับความเป็นคุณก็ได้ คุณต้องเริ่มฝึกการวิเคราะห์ คำนวณ และคุณจำเป็นต้องมองหาธุรกิจที่มันสามารถเป็นไปได้ 2. ใช้เครื่องมือช่วย เมื่อวิวัณมนการโลกกว้างมากขึ้น เครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยการทำธุรกิจก็มีมากขึ้นจนคุณสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เครื่องมือไหนเป็นผู้ช่วยของคุณ และซอฟต์แวร์อื่น ๆ ที่คุณจะนำมาเป็นผู้ช่วยเริ่มต้นธุรกิจ ควรจะเลือกซอฟต์แวร์ที่จะช่วยคุณตรวจสอบรายได้และรายจ่ายได้อย่างมืออาชีพ  3. สร้างแหล่งข้อมูลสำหรับตัวเอง การที่คุณต้องมองหารายละเอียดหรือข้อมูลสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจของคุณ อินเตอร์เน็ตจะเป็นตัวสร้างโลกของคุณอินเตอร์เน็ตจะสามารถเป็นฐานข้อมูลที่ดีที่สุด ทั้งในข้อมูลแบบกว้าง และข้อมูลโดยละเอียด คุณสามารถใช้ Google ที่จะสามารถเป็นห้องสมุดที่ใหญ่มากสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจของคุณ 4. หากิจกรรมเสริมสร้างการกระตุ้นสมองและจิตใจ เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สมองของคุณต้องได้รับการกระตุ้นเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และพื้นที่ว่างเพื่อให้จิตใจไม่รู้สึกอึดอัด การที่สมองของคุณได้ผ่านการฝึกฝน สกิลที่จะเกิดขึ้นมันจะไม่ยากเลย แต่สมองกับจิตใจที่สบายต้องทำงานพร้อมกันถึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสูด 5. การจดบันทึกในทุกวัน ใครบอกว่าการจดบันทึกเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ คุณรู้ไหมว่าการจดบันทีจะเป็นการทบทวนเหตุการณ์และผลลัพธ์ทั้งหมดทางอ้อมที่จะเป็นตัวช่วยให้คุณได้มีการพัฒนาจากบันทึกความผิดพลาด และได้เพิ่มสกิลในการฝึกทักษะเพื่อเริ่มต้นการเลือกทำธุรกิจของคุณ การเริ่มต้นทำธุรกิจ คุณอาจจะต้องมีทักษะหรือสกิลที่มากพอกับสิ่งที่คุณต้องการที่จะเริ่มต้น […]

ฮาวทูลบคนเคยรักออกจากชีวิต

วิธีการ How to

มันไม่ใช่เรื่องง่ายกับการลืมคนที่คุณมอบความรักให้เขาไปแล้วหมดหัวใจ แต่ในที่สุด มันก็ไม่สามารถนำพาคุณได้อยู่ด้วยกันได้ไม่ว่าเหตุผลได้ก็ตาม และมันก็มันยากสำหรับคุณที่จะตัดเขาออกจากชีวิตและปิดความรู้สึกของคุณออกจากเขาคนนั้น คุณอยากให้เขาออกจากหัวของคุณ ออกจากหัวใจของคุณ และแน่นอนคุณจะต้องไม่อยากให้มีตอนกลางคืนเพราะคุณไม่อยากฝันเห็นเขาคนนั้นอีก การต่อสู้กับความคิดของคุณ ความเหงาที่บีบคั้น ความเคยชินกับสัมผัสของเขา ทำให้คุณไม่สามารถหยุดย้อนคิดทุกสิ่งที่คุณเคยผ่านมาได้ แต่ยังเมื่อคุณตั้งใจแน่วแน่และยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่งของคุณจะได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่โล่งที่สุดเมื่อคุณสามารถลืมเขาและก้าวต่อไป แต่ทว่ายังมีบางส่วนที่ยังคงติดอยู่กับเขาแต่มันก็จะไม่เป็นตลอดไปถ้าคุณได้อ่านบทความด้านล่างนี้ที่จะทำให้คุณได้มูฟออนได้เสียที ติดตามสาเหตุและการแก้ปัญหาแบบคูลคูล #คุณรู้กำลังจะตายเมื่อความรักหายไป  มันเกิดขึ้นเพราะอะไร? ทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องที่ดูซับซ้อน? นั่นเป็นเพราะคุณไม่ปล่อยเขาให้ออกไปจากความทรงจำของคุณไงหล่ะ คุณปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณยังคงแอบที่ส่องโซเชียลของเขาทุกช่องทางถึงแม้ว่าคุณ unfollowed ไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม มันเป็นการสะกดรอยเขาแบบที่สร้างความเจ็บปวดให้กับตัวเองแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า  หยุดดูทุกอย่าง หยุดสะกดรอยตามเขาในทุกโซเชียลแบบหักดิบ เพราะมันจะทำให้คุณไปต่อไปไม่ได้ถึงแม้ว่าคุณตั้งใจที่จะไม่หวนกลับไปก็ตาม และมันจะยิ่งทำให้คุณต้องการเขาอีกครั้ง ให้คุณกัดฟันที่จะหยุด และมองให้เห็นว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่สวยงามรอคุณอยู่ #คุณรู้ถึงเหตุผลที่ยอมจากมา เพราะเขาไม่ใช่คนที่คุณเคยรักอีกต่อไป แน่นอนว่ามันยังคงมีภาพหลอนในวันที่คุณได้ทำกิจกรรมด้วยกัน ได้เห็นความอ่อนโยนและความโรแมนติก ความมีน้ำใจกับคนอื่นของเขา แต่วันนี้เขากลายเป็นผู้ชายใจร้อนที่สุด และทำร้ายจิตใจทุกคนด้วยการพูดอย่างรุนแรง สรุปง่าย ๆ คือเขาเปลี่ยนไปแล้ว ต่อให้คุณรักเขา แต่คุณจะไม่ได้เขาคนเดิมกลับมา จริงอยู่ว่าไม่มีใครจะสามารถเป็นคนเดิมเหมือนวันแรก เพราะการอยู่ด้วยกันมักมีการเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่หากการที่เขาเริ่มเป็นตัวเอง มันกลับทำร้ายคุณมากไปในทุก ๆ วัน มันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นของคุณกำลังจะถอยห่างจากคุณไปวันละน้อย และในที่สุดเขาจะกลายเป็นคนที่คุณไม่เคยรู้จัก  คุณไม่จำเป็นต้องรับความเจ็บปวดนั้น เพราะคนที่รักกันการเปลี่ยนแปลงจะไม่ใช่ในทางที่เลวร้ายลง แต่เมื่อไหร่มันกลายเป็นความเจ็บปวดให้คุณรีบถอยออกมาจากตรงนั้นเสียก่อนที่คุณจะต้องสูญเสียความเป็นตัวเองมากกว่านี้ มันไม่แปลกและไม่เจ็บเพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดิมที่คุณตกหลุมรักอีกแล้ว  #เขาเลิกสนใจคุณแล้ว ต่อให้คุณพยายามทุกอย่างเพื่อกลับไปหาเขา คุณจะไม่ได้รับความรักจากเขาอีก […]

วิธีสร้างความจุปอดเพื่อร่างกายแข็งแรง

วิธีการ How to

คุณเคยรู้หรือไม่ว่าปอดของคุณมีความสำคัญต่อร่างกายของคุณอย่างไร ปอดเป็นตัวรับและเก็บออกซิเจนเพื่อเข้าไปเลี้ยงร่างกาย และออกซิเจนก็เป็นตัวหล่อเลี้ยงทุกการทำงานของร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่การทำงานของเมตาบอลิซึมที่อยู่ในเซลล์  ออกซิเจนที่มาจากปอดจะถูกส่งไปยังทุกส่วนของร่างกาย สงสัยไหมว่าออกซิเจนเหล่านี้มาจากไหน ก็มาจากที่คุณได้ออกกำลังกายเป็นประจำ การมีปอดที่แข็งแรงจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในร่างกาย เมื่อคุณหายใจและได้รับเอาออกซิเจนเข้าไปได้มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉงและแข็งแรงขึ้น  มาดูกันว่าวิธีผลิตปอดในร่างกายของเราต้องทำอย่างไรบ้าง และทำอย่างไรที่จะสามารถปกป้องร่างกายจากความผิดปกติของการหายใจต่าง ๆ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และต้องทำอย่างไรเพื่อให้ทุกส่วนของร่างกายได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ ให้คุณลองอ่านบทความด้านล่างแล้วลองปฏิบัติตามวิธีต่อไปนี้เพื่อทำให้ปอดแข็งแรงขึ้นและผลิตออกซิเจนได้มากขึ้น Warm Up การวอร์มอัพเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะเริ่มขยับร่างกายในการออกกำลัง แต่การวอร์มอัพที่เพิ่มความจุของปอดที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร  เมื่อคุณทำทั้งหมดนี้เรียบร้อยแล้วคุณสามารถเริ่มขั้นตอนต่อไปได้เลย 1. หายใจทางช่องท้อง วิธีการหายใจทางช่องท้องเป็นการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มความจุให้กับปอด ให้คุณลองทำตามขั้นตอนดังนี้ ให้ทำให้ครบทุกท่า ทุกวัน วันละ 5 นาที 2. ท่ายืดซี่โครง ให้ทำขั้นตอนเหล่านี้ครั้งละ 5-10 นาที 3. การนับลมหายใจ วิธีการนับลมหายใจแบบนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มความจุของออกซิเจนเท่านั้น ยังช่วยเรื่องปอดอุดกั้นแบบเรื้อรังได้อีกด้วย ลองทำกันทีละขั้นตอนแบบช้า ๆ ให้คุณยืนตัวตรง แยกเท้าทั้งสองข้างออกจากกันให้เสมอกับช่วงไหล่ หายใจเข้าเป็นเวลานับ 1- 2  และเริ่มหายใจออก และในขณะที่กำลังหายใจออกโดยไม่เปิดปาก นับ 1- 4 ประสานมือทั้งสองข้างและทำท่าเหยียดไปด้านหน้าระดับหน้าอก นับ 1-5 หายใจเข้าและขณะหายใจออก […]